วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ยุง Part 2 : THE MOSQUITO (The End)

          แกจะไปหาเธอก็ได้นะ แล้วบอกเธอว่าแกเจอฉัน ถ้าแกเล่าว่าฉันลำบากแค่ไหนที่อยู่คนเดียวค่ำคืนโดดเดี่ยวแค่ไหนเธอจะยิ่งพอใจที่ได้ฟัง ฉันรู้จักเธอดี แกไม่รู้หรอก เธอมีความสุขบนความระทมทุกข์ของฉัน แกออกไปทางหน้าต่างนี้นะ เลี้ยวขวาแล้วบินตรงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแกเห็นป้ายถนนบาบารอสให้บินเข้าไปเกาะแท็กซี่ที่เปิดหน้าต่างสักคัน พอเห็นรูปปั้นอาตาร์เติ์ร์กแกออกจากแท็กซี่แล้วเลี้ยวขวา เข้าซอยเล็กๆไปที่บ้านไม้เลขที่ ๓/๑๔ นั่นคือบ้านของแม่เธอ ตอนนี้เธอคงนอนหลับอยู่ ไปปลุกเธอซะแต่อย่าบอกว่าฉันส่งแกมา ไม่อย่างนั้นแกถูกทรมานแน่ ระวังตัวด้วยเพราะแกจะเป็นสายลับจากปฏิปักษ์ของเธอ เธอจะบังคับให้แกพูด เธอจะกลายเป็นนางแม่มดใจร้ายเชียวหละเวลาที่เธอเจ็บปวด แกไม่รู้จักเธอแต่ฉันรู้ดี

          แกอ่านหนังสือออกไหมเจ้ายุง แกจะไปรู้จักชื่อถนนชื่อตรอกซอกซอยได้อย่างไร ได้เรียนหนังสือไหม มันไม่สำคัญหรอกเธออ่านออกเขียนได้เหมือนกันแต่แล้วไงหละ ฉันไม่เคยเห็นว่าเธออ่านหนังสือสักครั้ง เที่ยวบอกใครต่อใครว่าเธอเคยเป็นประธานชมรมวรรณกรรมสมัยอยู่มหาวิทยาลัย โกหกกันชัดๆ มีแต่ฉันเท่านั้นที่รู้ว่าเธอไม่มีเวลาจะอ่านอะไรทั้งนั้นเพราะมัวแต่พูด พูด พูดไม่หยุดไม่หย่อน ถ้าคุณไม่อ่านไม่เป็นไรแต่อย่ากวนคนที่เขาอยากอ่านหนังสือสิ ฉันต้องแอบเอาหนังสือเข้าไปในห้องราวกับมันเป็นแก้วเบียร์ แอบไว้ในเสื้อโค๊ทไม่ก็ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ซุกในกระเป๋ากางเกงเข้าไป เธอวิพากษ์วิจารณ์หนังสือที่ฉันอ่านด้วยนะเอ๋ย ว่าทำไมฉันถึงซื้อหนังสือเกี่ยวกับชีวิตเพศสัมพันธ์ของมดหรือประวัติศาสตร์การเมืองของฮิตติมาอ่าน จะให้ฉันตอบว่าอะไรหละ ฉันชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ ทีเธอใช้เงินและเวลากับการซื้อนั่นซื้อนี่และไปทำอะไรกินกับพวกเพื่อนๆของเธอฉันยังไม่ว่าเลย หนังสือของฉันมีคุณค่านะ แกคิดอะไรออกไหมเจ้ายุง เธอเป็นศัตรูของหนังสือไงหละ ผู้เล็ดรอดมาจากยุคเมลดิวานั่นเลย

          แกมองดูฉันสิเจ้ายุง แกดูจะเป็นเด็กสาวที่ดีคนหนึ่ง ฉันมองไม่เห็นแต่อย่างน้อยเสียง หึ่งๆนั่นก็ไม่กวนใจฉันอีกแล้ว ฉันไม่หนีแกไปไหนแล้วแกจำไว้นะไม่ว่าแกจะทำอะไรแกต้องทำให้สามีแกอยู่กับบ้าน ฉันยังไม่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของยุงมาก่อน แต่ฉันสัญญาว่าฉันจะหามาอ่านในเร็ววัน ขอฉันพูดซ้ำอีกทีว่าทำอะไรก็ได้ให้สามีแกอยู่ติดบ้าน ฉันเริ่มออกไปใช้เวลาเตร่นอกบ้านเพราะผู้หญิงคนนี้ เธอไม่เคยให้ฉันได้พักผ่อนหย่อนใจที่บ้านเลย ฉันควรทำอย่างไรหละก็ออกไปเจอเพื่อนฝูงของฉันไง เริ่มจากเล่นพนันเล็กๆน้อยๆ เธอทำให้ฉันเข้าไปพัวพันกับสิ่งนี้ แล้วฉันก็กลับบ้านดึกขึ้นทุกที มันเป็นวงจรอุบาท ยิ่งดึกเท่าไรฉันยิ่งอยากกลับดึกมากขึ้นกว่าเดิม

          แกคงจะพอรู้ว่าอาการเมาเป็นอย่างไร แกเคยเมาไหมเจ้ายุง ถ้าเกิดว่าแกไปกัดดูดเลือดคนเมาเข้าแกก็จะเมาตามใช่ไหม ไม่เหมือนคนฉันไม่เชื่อหรอกว่าเวลาดื่มเหล้าเบียร์แล้วคนจะลืมปัญหาต่างๆของตัวเอง ฉันดื่มเพื่อจะได้ลดความมีเหตุมีผลของตัวเองลงแต่ไม่ใช่ความทรงจำ มันดีที่ได้ทำตัวบ้าบอบ้างบางเวลาเพราะคนรอบข้างต่างก็จะทนกับพฤติกรรมของคุณได้ หากคุณปกติไม่เมาคุณจะทำอะไรแบบนั้นหรือพูดแบบนั้นไม่ได้หรอก มันจะดีกว่าหากคุณเมาซะแล้วทำตัวเหมือนไก่ไร้หัว ผมเองก็อยากทำตัวไม่ต้องแบกความมีเหตุมีผล ไม่ต้องรับผิดชอบใดใดไม่ต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมา พอตื่นมาอีกวันหนึ่งไม่ต้องรู้สึกบาปกรรมที่มีต่อใคร การไม่ต้องรับผิดชอบอะไรคือการเป็นอิสระโดยแท้ การดื่มแอลกอฮอร์ทำให้เรารู้สึกนั้น ฉันจูบผู้หญิงคนหนึ่งที่บาร์ด้วยนะ ทั้งที่ไม่รู้จักกัน หล่อนถอดรองเท้าแล้วเต้นรำอย่างสนุกสนานอยู่กลางร้าน ฉันถือรองเท้าสีฟ้าของหล่อนแล้วรอให้หล่อนมาหาฉันเพื่อขอรองเท้าคืน ฉันจูบไปที่ริมฝีปากนั่นโดยไม่รอช้า หล่อนก็ไม่ขัดขืนแต่อย่างใด กลับชอบซะอย่างนั้น จนกระทั่งหล่อนนึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกไม่ควร หญิงสาวอายุราวยี่สิบกว่าๆจูบกับชายวัยห้าสิบกว่าปี ฉันส่งรองเท้าคืนหล่อนแล้วเดินออกจากบาร์นั้น เช้าวันต่อมาฉันจำได้สองอย่างคือริมฝีปากรสชาติเปปเปอร์มินต์กับรอเท้าเบอร์สามสิบเจ็ด ต่อมาฉันหยิบหนังสือของเช็กโควมาอ่านเรื่อง “จุมพิต” แล้วก็ร้องไห้เมื่ออ่านจนจบอีกครั้ง ชายคนหนึ่งถูกหญิงสาวจุมพิตในความมืดเพียงครั้งเดียว แต่เขาใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อใฝ่หาเจ้าของจูบนั้นจนชั่วชีวิต แกเข้าใจความรู้สึกนั้นไหมเจ้ายุงน้อย แกเข้าใจความรักไหม การอยากได้ความรัก ความปรารถนาที่จะมีใครสักคนมาใส่ใจเยียวยาเราจากความโดดเดี่ยวลำพังอันเป็นโรคติดต่ออย่างหนึ่ง หรือว่าความรักเป็นสิ่งที่มนุษย์เราเอามาพูดให้เกินจริง บางทีมันอาจไม่เป็นความจริงเป็นแค่ส่วนหนึ่งในเพื่อวิวัฒนาการเท่านั้น
แกหยุดกัดฉันเสียทีเจ้ายุง ฉันกำลังพูดถึงความรักในใจฉันกำลังคร่ำครวญกับความทรงจำเก่าๆแต่แกกลับสำราญกับอาหารเช้ายามรุ่งสางนะ แกพอได้แล้วหละ เว้นวรรคจากการดูดเลือดฉันบ้าง แกถามฉันใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง เมียฉันเริ่มต่อว่าต่อขานฉันในทุกปัญหา ก็เหมือนกับผู้หญิงทุกคน เสียงดังขึ้นเรื่อยๆราวกับเสียงแตรรถบรรทุก ดังไปถึงห้องข้างบน วันอังคารที่แล้วเธอก็จากไปและไม่เคยโทรศัพท์มาถามฉันเลย แต่ฉันก็รู้นะว่าเธอเป็นห่วงฉันตลอดเวลา จะให้เธอห่วงใครหละ เราไม่มีลูกด้วยกันให้เธอต้องห่วง นอกจากฉันนี่หละ ฉันบอกกับเธอไปตั้งกี่ครั้งว่าไปหาหมอกันเถอะ มันอาจเป็นแค่ปัญหาทางกายภาพเล็กน้อย หมอเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ เราไปด้วยด้วยกัน เธอตอบว่า ไม่ ไม่มีทาง หาว่าฉันกล้าดีอย่างไรที่บอกให้เธอจะไปถลกกระโปรงให้ชายอื่นดู ฉันบอกว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นแม่ยอดชีวี หมอจะมาอยากเห็น...ของคุณไปทำไม นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำ และถ้าหมอเขาต้องดูตรงนั้นจริง สำหรับคนเป็นหมอตรงนั้นมันก็เพียงส่วนหนึ่งของร่างกายคุณ หมอจะมองร่างกายเป็นสิ่งที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อ” เธอเอาแต่บอกว่า ไม่เอา ไม่เอา เธอจะแก้ปัญหาด้วยวิธีของเธอเอง เริ่มจากไปหาหมอดูที่อยู่ในตึกเดียวกัน จนกระทั่งเธอตระหนักได้ว่าการหยดตะกั่วลงในน้ำเย็นแล้วแปลความหมายจากหลุมนูนๆบนก้อนตะกั่วนั้นเป็นการเปล่าประโยชน์ เธอก็หันไปหาอิหม่าม เริ่มอ่านและท่องคำต่างๆในศาสนา ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ ละหมาดวันละห้าครั้ง ไปสุเหร่าที่สหายของพระศาสดาอาจจะถูกฝังอยู่ เธอหยุดร่วมรักกับฉันแต่มีเพศสัมพันธ์เพื่อวัตถุประสงค์แห่งการมีลูก ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉันพูดกับเธอว่า “เมียสุดที่รักของผม เราไปปรึกษาหมอกันเถิด คุณยังละหมาดกราบไหว้ขอพรพระเจ้าเหมือนเดิม แต่เราต้องทำตามเหตุตามผลที่สมควร” ไม่เลยเจ้ายุงเอ๋ย ฉันโน้มน้าวเธอไม่สำเร็จ เธอยืนกรานจะไม่ทำตามที่ฉันขอร้อง

          ให้ฉันพูดให้จบนะเจ้ายุง ยังมีเรื่องที่ฉันจะเล่าอีกไม่มีวันจบ ถ้าจบชีวิตก็จบเช่นกัน ชีวิตจะมีความหมายอะไรถ้าปราศจากความทรงจำ ลืมเรื่องงานของฉันไปได้เลย ฉันจะไม่กลับไปทำงานห่านั่นอีกแล้ว ฉันทำอยู่ที่นั่นมาสามสิบห้าปีแล้วแต่ไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่งสักครั้ง เจ้านายคนใหม่ของฉันอายุอ่อนกว่าฉันเป็นสิบปี ฉันก็หวังว่าตัวเองจะเกษียณเร็ววันนี้เสียที เลยไม่สนใจงานหรอก อีกไม่กี่เดือนฉันก็จะเป็นอิสระแล้ว ต่อจากนั้นปัญหาที่แท้จริงก็จะอุบัติขึ้น กลางคืนหรือกลางวันจะไม่ต่างกัน ในบ้านหลังเดิมกับห้องที่แออัดนี้ ฉันจะเล่นซ่อนหากับเธอ แกว่าจะมีทางอื่นไหมหละเจ้ายุง ชีวิตฉันมันโหดร้ายนักและฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ฉันร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนๆของฉัน พวกมันไม่เข้าใจหรอก ฉันเล่าเรื่องปู่ของฉันให้พวกนั้นฟัง ฉันพูดว่าพอคนเราแก่ตัวไปความโดดเดี่ยวเดียวดายจะมาเกาะที่บ่าเรา เหมือนหมอกทึบก้อนใหญ่ๆ ยิ่งเราหนีมันจะยิ่งแผ่กระจายและปิดกั้นทางออกไม่ให้เราเห็น ฉันร้องไห้ออกมาแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้น พวกนั้นคิดว่าฉันร้องไห้เพราะฉันอยู่คนเดียวหาใช่เพราะฉันโดดเดี่ยวอย่างที่เป็น

          แกดูสิเจ้ายุง นี่มันตีสามแล้ว ถ้าฉันหลับไปตอนนี้ อย่างเช้าสุดที่ฉันจะตื่นได้ก็สิบเอ็ดโมง หรือว่าฉันจะโทร.ไปหาเธอแล้วบอกให้เธอโทรมาปลุกฉันตอนเจ็ดโมงดี ไม่มีทางหละ ถ้าฉันทำอย่างนั้นก็เท่ากับฉันยอมแพ้เธอ เธอจะคิดไปว่าฉันอยู่คนเดียวไม่ได้ ใช่แล้วหละหากจะดื้อดึงต่อฉันก็จะทำอย่างนั้น ฉันอยู่ได้โดยไม่มีเธอ โดยไม่คิดถึงเธอ เธอก็จะกลับมาเองโดยที่ฉันไม่ต้องขอร้อง ในเมื่อเธอจากไปเองเธอย่อมหาทางกลับมาเอง ฉันจะรออยู่ที่นี่แหละ ถ้าฉันไม่มีเมียฉันก็หาเพื่อนคุยได้มากมาย อย่างคืนนี้ฉันก็เจอแกถ้าแกไม่กัดฉันเราก็จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ใช่ไหมเจ้ายุง  เฮ้ย แกยังอยู่ไหม แกไปไหนแล้วสหายน้อยของฉัน แกทิ้งฉันแล้วหรือ แกก็ทิ้งฉันไปอีกคน ทิ้งไปโดยไม่มีเหตุผลเหมือนเมียฉัน

          รุ่งเช้าผมทาครีมบางชนิดตามรอยที่ยุงกัดตามหน้า มือและเท้า จากนั้นก็เดินทางไปบ้านแม่ยายผม ขับรถไปพลางเช็ดหน้าเช็ดตาที่แก่ชราไปครึ่งศตวรรษไปพลาง บอกกับตัวเองว่า “เราแต่งงานกันมาสามสิบปีแต่เธอไม่เคยกัดผมอย่างนี้”
แล้วผมก็ไม่เคยเจอยุงตัวนั้นอีกเลย

>>>>>>>>>><<<<<<<<<<< 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น